Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    golfcoursethai
    • Home
    • ข่าวสารล่าสุด
    • ความบันเทิง
    • สุขภาพ
    golfcoursethai
    สุขภาพ

    การติดเชื้อราที่ ปาก และลำคอ (ฝ้าขาวในปาก)

    Jesse FosterBy Jesse FosterSeptember 2, 2025Updated:September 2, 2025No Comments2 Mins Read

    การติดเชื้อราที่ ปาก และลำคอ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “ฝ้าขาวในปาก” เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย แม้จะดูเหมือนเป็นอาการเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วสามารถสร้างความไม่สบายตัว ส่งผลกระทบต่อการกินอาหาร พูดคุย และคุณภาพชีวิตโดยรวม หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษา เชื้อราสามารถลุกลามลงลำคอและหลอดอาหาร ทำให้กลืนลำบากและเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้

    โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Candida albicans ซึ่งปกติแล้วอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์โดยไม่ก่อโรค แต่เมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เชื้อดังกล่าวจะเจริญเติบโตมากผิดปกติจนก่อให้เกิดอาการ


    ลักษณะและอาการของการติดเชื้อราที่ปากและลำคอ

    อาการของโรคนี้มักเริ่มจากการมีฝ้าขาวหรือคราบสีขาวนวลภายในช่องปาก โดยเฉพาะบริเวณลิ้น กระพุ้งแก้ม เพดานปาก และบางครั้งลามไปถึงลำคอ ลักษณะอาการที่พบบ่อย ได้แก่:

    • ฝ้าขาวหรือคราบนวลในปาก: เมื่อใช้ช้อนหรือไม้กดลองขูดออก บางครั้งสามารถหลุดออกได้ แต่จะทิ้งรอยแดงหรือแผลเล็ก ๆ ไว้
    • เจ็บแสบหรือระคายเคืองในช่องปาก: โดยเฉพาะเวลารับประทานอาหารรสจัดหรือร้อน
    • ลิ้นแตกหรือแห้ง: ทำให้รู้สึกไม่สบายและเสียรสชาติอาหาร
    • กลืนลำบากหรือเจ็บคอ: หากเชื้อลุกลามลงลำคอและหลอดอาหาร
    • ปากมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
    • ในทารก อาจมีอาการงอแง ไม่อยากดูดนมเพราะเจ็บปาก

    หากการติดเชื้อลุกลามลงหลอดอาหาร ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอก กลืนอาหารลำบาก หรือมีความรู้สึกเหมือนอาหารติดคอ


    สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

    เชื้อรา Candida albicans เป็นเชื้อที่พบได้ตามปกติในช่องปาก ลำไส้ และผิวหนัง แต่จะก่อโรคเมื่อสมดุลของจุลชีพในร่างกายถูกรบกวนหรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดฝ้าขาวในปาก ได้แก่:

    1. ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
      • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
      • ผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้ป่วยโรคเอดส์
      • ผู้ที่กำลังรับเคมีบำบัดหรือการปลูกถ่ายอวัยวะ
    2. การใช้ยาบางชนิด
      • ยาปฏิชีวนะที่ใช้ติดต่อกันนาน ๆ สามารถทำลายสมดุลแบคทีเรียที่ดีในช่องปาก
      • ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นสำหรับโรคหอบหืด หากใช้โดยไม่บ้วนปากหลังพ่นยา
      • ยากดภูมิคุ้มกัน
    3. ปัญหาสุขภาพช่องปาก
      • การใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดีหรือไม่สะอาด
      • การไม่รักษาความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอ
    4. ทารกและผู้สูงอายุ
      • ทารกมีภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์
      • ผู้สูงอายุมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงตามวัย
    5. พฤติกรรมเสี่ยง
      • การสูบบุหรี่
      • การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของเชื้อรา

    การวินิจฉัย

    แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากการตรวจร่างกายช่องปากและลำคอ หากฝ้าขาวมีลักษณะจำเพาะ แพทย์มักสามารถบอกได้ทันที แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้การตรวจเพิ่มเติม เช่น:

    • การขูดตัวอย่างคราบในปาก เพื่อนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการหาชนิดเชื้อรา
    • การส่องกล้องหลอดอาหาร (endoscopy) หากสงสัยว่าการติดเชื้อลุกลามลงคอหรือหลอดอาหาร
    • การตรวจเลือด เพื่อประเมินระดับน้ำตาลหรือภูมิคุ้มกันของร่างกาย

    แนวทางการรักษา

    การรักษาการติดเชื้อราที่ปากและลำคอขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค อายุผู้ป่วย และสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ แนวทางหลักได้แก่:

    1. ยาต้านเชื้อรา (Antifungal drugs)
      • Nystatin: มักใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากหรือหยดในปากสำหรับทารก
      • Clotrimazole: อมให้ละลายในปากเพื่อลดเชื้อรา
      • Fluconazole หรือ Itraconazole: ใช้ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือลามไปถึงหลอดอาหาร โดยให้ในรูปแบบยากินหรือยาฉีด
    2. การดูแลสุขภาพช่องปาก
      • แปรงฟันและลิ้นเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง
      • ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
      • ถอดฟันปลอมก่อนนอนและทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
    3. การจัดการปัจจัยเสี่ยง
      • หากเกิดจากยาสเตียรอยด์ชนิดพ่น ควรบ้วนปากทุกครั้งหลังใช้ยา
      • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
      • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป
    4. การรักษาในทารกและแม่ที่ให้นมบุตร
      • ทารกมักรักษาด้วยยาหยอดปากชนิดต้านเชื้อรา
      • หากแม่มีการติดเชื้อที่หัวนม ควรได้รับการรักษาพร้อมกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

    ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

    แม้การติดเชื้อราที่ปากส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อราสามารถแพร่ลึกลงไปได้ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:

    • การติดเชื้อราที่หลอดอาหาร ทำให้กลืนลำบาก เจ็บหน้าอก
    • การติดเชื้อราลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด (Candidemia) ซึ่งอันตรายและพบได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างมาก
    • การติดเชื้อซ้ำเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่สามารถกำจัดปัจจัยเสี่ยงได้

    การป้องกัน

    แม้ไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่การดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรมสามารถลดโอกาสเกิดการติดเชื้อราที่ปากและลำคอได้ดังนี้:

    • รักษาสุขภาพช่องปากให้สะอาด
    • บ้วนปากหลังใช้ยาพ่นสเตียรอยด์ทุกครั้ง
    • จำกัดการบริโภคน้ำตาลและอาหารหวาน
    • เลิกสูบบุหรี่
    • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
    • ตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเป็นประจำ

    การวินิจฉัยการติดเชื้อราที่ปากและลำคอ

    การวินิจฉัยโรคเชื้อราที่ปาก (oral candidiasis) ส่วนใหญ่สามารถทำได้จากการตรวจร่างกายทั่วไปโดยทันตแพทย์หรือแพทย์ทั่วไป เนื่องจากฝ้าขาวในปากมีลักษณะเฉพาะ แต่ในบางกรณีอาจต้องตรวจเพิ่มเติม ได้แก่:

    1. การตรวจร่างกายและอาการทางคลินิก
      • สังเกตลักษณะฝ้าขาวในปาก ลิ้น เพดานปาก หรือในลำคอ
      • ตรวจว่าฝ้านั้นสามารถขูดออกได้หรือไม่ และมีเลือดออกตามมา
    2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
      • เก็บตัวอย่างเซลล์หรือเศษฝ้าขาวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาการเจริญของเชื้อรา
      • การเพาะเชื้อเพื่อยืนยันชนิดของเชื้อรา โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรังหรือดื้อยา
    3. การตรวจหาภาวะเสี่ยงร่วม
      • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหากสงสัยเบาหวาน
      • ตรวจการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในผู้ที่สงสัยว่าอาจมีโรคเอดส์หรือใช้ยากดภูมิ

    การรักษา

    การรักษาการติดเชื้อราที่ปากและลำคอมีหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุพื้นฐาน ได้แก่:

    1. ยาต้านเชื้อราเฉพาะที่ (Topical antifungal agents)
      • ใช้น้ำยาบ้วนปากหรือเจลที่มีตัวยาต้านเชื้อรา เช่น Nystatin suspension หรือ Miconazole gel
      • เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงและสามารถปฏิบัติตามการใช้ยาได้อย่างสม่ำเสมอ
    2. ยาต้านเชื้อราแบบกิน (Systemic antifungal agents)
      • เช่น Fluconazole, Itraconazole หรือ Ketoconazole ใช้ในกรณีที่เชื้อราลุกลามหรือผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
      • ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง
    3. การรักษาสาเหตุพื้นฐาน
      • ควบคุมโรคเบาหวานให้ระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์
      • ปรับการใช้ยาปฏิชีวนะหรือยากดภูมิตามคำแนะนำแพทย์
      • แก้ไขปัญหาช่องปาก เช่น ฟันปลอมที่ไม่พอดีหรือสุขอนามัยในปากไม่ดี
    4. การบรรเทาอาการร่วม
      • แนะนำให้ดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อป้องกันปากแห้ง
      • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวานจัด หรือเผ็ดจัดที่อาจทำให้ระคายเคือง

    การป้องกันการเกิดเชื้อราที่ปากและลำคอ

    การป้องกันถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโรคนี้มักเกิดซ้ำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง การดูแลตนเองทำได้ดังนี้:

    1. รักษาสุขอนามัยในช่องปาก
      • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
      • ทำความสะอาดฟันปลอมทุกวันและถอดออกก่อนนอน
    2. ควบคุมการใช้ยาอย่างระมัดระวัง
      • หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น
      • หากต้องใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น ควรบ้วนปากด้วยน้ำหลังใช้ทุกครั้ง
    3. การดูแลสุขภาพทั่วไป
      • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
      • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีน
      • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
    4. การตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ
      • ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ
      • หากพบฝ้าขาวหรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

    การติดเชื้อราที่ ปาก และลำคอ (ฝ้าขาวในปาก) การรักษา วัณโรค ใช้เวลานานเท่าไรถึงจะหาย ซูเปอร์ฟู้ดท้องถิ่น: ทางเลือกสุขภาพที่คุ้มค่า ผลกระทบของการออกกำลังกายต่อสมดุล ฮอร์โมน และอารมณ์
    Jesse Foster

    Related Posts

    หมู่บ้าน คาสเซิลคอมบ์: การเดินทางผ่านหมู่บ้านยุคกลางของอังกฤษ

    August 31, 2025

    ทะเลสาบนาทรอน: ทะเลสาบ แดงลึกลับที่ตราตรึงใจ

    August 30, 2025

    หมู่เกาะคิริมบาส: สวรรค์ลับริมชายฝั่ง โมซัมบิก

    August 29, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.