การติดเชื้อราที่ ปาก และลำคอ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “ฝ้าขาวในปาก” เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย แม้จะดูเหมือนเป็นอาการเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วสามารถสร้างความไม่สบายตัว ส่งผลกระทบต่อการกินอาหาร พูดคุย และคุณภาพชีวิตโดยรวม หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษา เชื้อราสามารถลุกลามลงลำคอและหลอดอาหาร ทำให้กลืนลำบากและเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Candida albicans ซึ่งปกติแล้วอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์โดยไม่ก่อโรค แต่เมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เชื้อดังกล่าวจะเจริญเติบโตมากผิดปกติจนก่อให้เกิดอาการ
ลักษณะและอาการของการติดเชื้อราที่ปากและลำคอ

อาการของโรคนี้มักเริ่มจากการมีฝ้าขาวหรือคราบสีขาวนวลภายในช่องปาก โดยเฉพาะบริเวณลิ้น กระพุ้งแก้ม เพดานปาก และบางครั้งลามไปถึงลำคอ ลักษณะอาการที่พบบ่อย ได้แก่:
- ฝ้าขาวหรือคราบนวลในปาก: เมื่อใช้ช้อนหรือไม้กดลองขูดออก บางครั้งสามารถหลุดออกได้ แต่จะทิ้งรอยแดงหรือแผลเล็ก ๆ ไว้
- เจ็บแสบหรือระคายเคืองในช่องปาก: โดยเฉพาะเวลารับประทานอาหารรสจัดหรือร้อน
- ลิ้นแตกหรือแห้ง: ทำให้รู้สึกไม่สบายและเสียรสชาติอาหาร
- กลืนลำบากหรือเจ็บคอ: หากเชื้อลุกลามลงลำคอและหลอดอาหาร
- ปากมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
- ในทารก อาจมีอาการงอแง ไม่อยากดูดนมเพราะเจ็บปาก
หากการติดเชื้อลุกลามลงหลอดอาหาร ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอก กลืนอาหารลำบาก หรือมีความรู้สึกเหมือนอาหารติดคอ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
เชื้อรา Candida albicans เป็นเชื้อที่พบได้ตามปกติในช่องปาก ลำไส้ และผิวหนัง แต่จะก่อโรคเมื่อสมดุลของจุลชีพในร่างกายถูกรบกวนหรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดฝ้าขาวในปาก ได้แก่:
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
- ผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้ป่วยโรคเอดส์
- ผู้ที่กำลังรับเคมีบำบัดหรือการปลูกถ่ายอวัยวะ
- การใช้ยาบางชนิด
- ยาปฏิชีวนะที่ใช้ติดต่อกันนาน ๆ สามารถทำลายสมดุลแบคทีเรียที่ดีในช่องปาก
- ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นสำหรับโรคหอบหืด หากใช้โดยไม่บ้วนปากหลังพ่นยา
- ยากดภูมิคุ้มกัน
- ปัญหาสุขภาพช่องปาก
- การใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดีหรือไม่สะอาด
- การไม่รักษาความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอ
- ทารกและผู้สูงอายุ
- ทารกมีภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์
- ผู้สูงอายุมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงตามวัย
- พฤติกรรมเสี่ยง
- การสูบบุหรี่
- การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของเชื้อรา
การวินิจฉัย
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากการตรวจร่างกายช่องปากและลำคอ หากฝ้าขาวมีลักษณะจำเพาะ แพทย์มักสามารถบอกได้ทันที แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้การตรวจเพิ่มเติม เช่น:
- การขูดตัวอย่างคราบในปาก เพื่อนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการหาชนิดเชื้อรา
- การส่องกล้องหลอดอาหาร (endoscopy) หากสงสัยว่าการติดเชื้อลุกลามลงคอหรือหลอดอาหาร
- การตรวจเลือด เพื่อประเมินระดับน้ำตาลหรือภูมิคุ้มกันของร่างกาย
แนวทางการรักษา
การรักษาการติดเชื้อราที่ปากและลำคอขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค อายุผู้ป่วย และสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ แนวทางหลักได้แก่:
- ยาต้านเชื้อรา (Antifungal drugs)
- Nystatin: มักใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากหรือหยดในปากสำหรับทารก
- Clotrimazole: อมให้ละลายในปากเพื่อลดเชื้อรา
- Fluconazole หรือ Itraconazole: ใช้ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือลามไปถึงหลอดอาหาร โดยให้ในรูปแบบยากินหรือยาฉีด
- การดูแลสุขภาพช่องปาก
- แปรงฟันและลิ้นเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง
- ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
- ถอดฟันปลอมก่อนนอนและทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
- การจัดการปัจจัยเสี่ยง
- หากเกิดจากยาสเตียรอยด์ชนิดพ่น ควรบ้วนปากทุกครั้งหลังใช้ยา
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป
- การรักษาในทารกและแม่ที่ให้นมบุตร
- ทารกมักรักษาด้วยยาหยอดปากชนิดต้านเชื้อรา
- หากแม่มีการติดเชื้อที่หัวนม ควรได้รับการรักษาพร้อมกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
แม้การติดเชื้อราที่ปากส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อราสามารถแพร่ลึกลงไปได้ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:
- การติดเชื้อราที่หลอดอาหาร ทำให้กลืนลำบาก เจ็บหน้าอก
- การติดเชื้อราลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด (Candidemia) ซึ่งอันตรายและพบได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างมาก
- การติดเชื้อซ้ำเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่สามารถกำจัดปัจจัยเสี่ยงได้
การป้องกัน
แม้ไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่การดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรมสามารถลดโอกาสเกิดการติดเชื้อราที่ปากและลำคอได้ดังนี้:
- รักษาสุขภาพช่องปากให้สะอาด
- บ้วนปากหลังใช้ยาพ่นสเตียรอยด์ทุกครั้ง
- จำกัดการบริโภคน้ำตาลและอาหารหวาน
- เลิกสูบบุหรี่
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
- ตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเป็นประจำ
การวินิจฉัยการติดเชื้อราที่ปากและลำคอ
การวินิจฉัยโรคเชื้อราที่ปาก (oral candidiasis) ส่วนใหญ่สามารถทำได้จากการตรวจร่างกายทั่วไปโดยทันตแพทย์หรือแพทย์ทั่วไป เนื่องจากฝ้าขาวในปากมีลักษณะเฉพาะ แต่ในบางกรณีอาจต้องตรวจเพิ่มเติม ได้แก่:
- การตรวจร่างกายและอาการทางคลินิก
- สังเกตลักษณะฝ้าขาวในปาก ลิ้น เพดานปาก หรือในลำคอ
- ตรวจว่าฝ้านั้นสามารถขูดออกได้หรือไม่ และมีเลือดออกตามมา
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- เก็บตัวอย่างเซลล์หรือเศษฝ้าขาวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาการเจริญของเชื้อรา
- การเพาะเชื้อเพื่อยืนยันชนิดของเชื้อรา โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรังหรือดื้อยา
- การตรวจหาภาวะเสี่ยงร่วม
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหากสงสัยเบาหวาน
- ตรวจการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในผู้ที่สงสัยว่าอาจมีโรคเอดส์หรือใช้ยากดภูมิ
การรักษา
การรักษาการติดเชื้อราที่ปากและลำคอมีหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุพื้นฐาน ได้แก่:
- ยาต้านเชื้อราเฉพาะที่ (Topical antifungal agents)
- ใช้น้ำยาบ้วนปากหรือเจลที่มีตัวยาต้านเชื้อรา เช่น Nystatin suspension หรือ Miconazole gel
- เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงและสามารถปฏิบัติตามการใช้ยาได้อย่างสม่ำเสมอ
- ยาต้านเชื้อราแบบกิน (Systemic antifungal agents)
- เช่น Fluconazole, Itraconazole หรือ Ketoconazole ใช้ในกรณีที่เชื้อราลุกลามหรือผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง
- การรักษาสาเหตุพื้นฐาน
- ควบคุมโรคเบาหวานให้ระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์
- ปรับการใช้ยาปฏิชีวนะหรือยากดภูมิตามคำแนะนำแพทย์
- แก้ไขปัญหาช่องปาก เช่น ฟันปลอมที่ไม่พอดีหรือสุขอนามัยในปากไม่ดี
- การบรรเทาอาการร่วม
- แนะนำให้ดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อป้องกันปากแห้ง
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวานจัด หรือเผ็ดจัดที่อาจทำให้ระคายเคือง
การป้องกันการเกิดเชื้อราที่ปากและลำคอ
การป้องกันถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโรคนี้มักเกิดซ้ำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง การดูแลตนเองทำได้ดังนี้:
- รักษาสุขอนามัยในช่องปาก
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
- ทำความสะอาดฟันปลอมทุกวันและถอดออกก่อนนอน
- ควบคุมการใช้ยาอย่างระมัดระวัง
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น
- หากต้องใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น ควรบ้วนปากด้วยน้ำหลังใช้ทุกครั้ง
- การดูแลสุขภาพทั่วไป
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีน
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- การตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ
- หากพบฝ้าขาวหรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที