อาหารตะวันออกกลางเป็นหนึ่งในอาหารที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ฟาลาเฟล ด้วยเอกลักษณ์ของรสชาติที่เข้มข้น กลิ่นหอมของเครื่องเทศ และความสมดุลระหว่างความอร่อยกับคุณค่าทางโภชนาการ สองเมนูที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของอาหารตะวันออกกลางคือ “ฟาลาเฟล” (Falafel) และ “ฮัมมัส” (Hummus) ทั้งคู่เป็นอาหารที่ทำจากพืช เหมาะกับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ และยังเต็มไปด้วยโปรตีนจากถั่วต่าง ๆ ที่ดีต่อสุขภาพ
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับที่มาของฟาลาเฟลและฮัมมัส พร้อมสูตรต้นตำรับที่สามารถทำได้เองที่บ้านแบบง่าย ๆ แต่ยังคงความดั้งเดิมและรสชาติแบบตะวันออกกลางแท้ ๆ
ที่มาของฟาลาเฟลและฮัมมัส

ฟาลาเฟลเชื่อว่ามีต้นกำเนิดในประเทศอียิปต์ ก่อนจะแพร่หลายไปทั่วตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในเลบานอน ซีเรีย อิสราเอล และจอร์แดน เป็นอาหารที่นิยมรับประทานในมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น โดยมักจะเสิร์ฟกับขนมปังพิต้า (Pita Bread) ผักสด และซอสทาฮินี (Tahini Sauce)
ในขณะที่ฮัมมัสมีประวัติยาวนานไม่แพ้กัน เชื่อว่ามีต้นกำเนิดจากภูมิภาคลิแวนต์ (Levant) ซึ่งรวมถึงซีเรีย เลบานอน และปาเลสไตน์ เป็นอาหารที่ทำจากถั่วชิกพีบดละเอียดผสมกับน้ำมะนาว น้ำมันมะกอก และงาบด มีเนื้อสัมผัสเนียนนุ่มและรสชาติกลมกล่อม นิยมใช้เป็นดิปกับขนมปังหรือผักสด
สูตรฟาลาเฟลต้นตำรับตะวันออกกลาง
วัตถุดิบ
- ถั่วชิกพีแห้ง 250 กรัม (แช่น้ำค้างคืนอย่างน้อย 12 ชั่วโมง)
- หอมใหญ่ 1 หัว (สับละเอียด)
- กระเทียม 3 กลีบ
- ผักชีฝรั่งสด ½ ถ้วย
- ผักชีสด ½ ถ้วย
- ผงยี่หร่า 1 ช้อนชา
- ผงผักชี 1 ช้อนชา
- เบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชา
- เกลือและพริกไทยดำตามชอบ
- น้ำมันสำหรับทอด
วิธีทำ
- เตรียมส่วนผสม: หลังจากแช่ถั่วชิกพีแล้ว ให้ล้างให้สะอาดและสะเด็ดน้ำ จากนั้นใส่ลงในเครื่องปั่นหรือเครื่องบดอาหาร
- ปั่นส่วนผสม: ใส่หอมใหญ่ กระเทียม ผักชีฝรั่ง ผักชี และเครื่องเทศทั้งหมดลงไป ปั่นจนได้เนื้อเนียนละเอียดแต่ยังคงมีเนื้อสัมผัสเล็กน้อย ไม่ควรปั่นจนเหลวเกินไป
- พักส่วนผสม: ใส่เบกกิ้งโซดา คนให้เข้ากัน แล้วพักในตู้เย็นประมาณ 30 นาที เพื่อให้ส่วนผสมเซตตัวและง่ายต่อการปั้น
- ปั้นและทอด: ปั้นเป็นก้อนกลมขนาดพอดีมือ แล้วนำไปทอดในน้ำมันร้อนปานกลางจนเหลืองกรอบทั่วทั้งด้าน
- เสิร์ฟ: ฟาลาเฟลจะอร่อยมากเมื่อรับประทานกับขนมปังพิต้า ผักสด และซอสทาฮินี หรือจะรับประทานคู่กับฮัมมัสก็ได้เช่นกัน
เคล็ดลับ
- ควรใช้ถั่วชิกพีแห้งที่แช่น้ำ ไม่ควรใช้แบบต้มสำเร็จ เพราะจะทำให้ฟาลาเฟลไม่กรอบและอมน้ำมัน
- หากต้องการให้ฟาลาเฟลนุ่มด้านใน สามารถใส่ผงฟูเล็กน้อยแทนเบกกิ้งโซดา
สูตรฮัมมัสเนื้อนุ่มหอมงา
วัตถุดิบ
- ถั่วชิกพีต้มสุก 250 กรัม
- น้ำมะนาวสด 3 ช้อนโต๊ะ
- งาบด (Tahini) 2 ช้อนโต๊ะ
- กระเทียม 1 กลีบ (สับละเอียด)
- น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ ½ ช้อนชา
- น้ำเย็น 2-3 ช้อนโต๊ะ (สำหรับปรับความข้น)
- ผงพริกปาปริก้า และน้ำมันมะกอก (สำหรับตกแต่ง)
วิธีทำ
- เตรียมส่วนผสม: ใส่ถั่วชิกพีต้ม งาบด น้ำมะนาว กระเทียม และเกลือลงในเครื่องปั่น
- ปั่นให้เนียน: ปั่นจนเนื้อเนียนละเอียด จากนั้นค่อย ๆ เติมน้ำเย็นทีละน้อยเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่ต้องการ
- ปรับรสชาติ: ชิมรสและปรับด้วยน้ำมะนาวหรือน้ำมันมะกอกตามชอบ
- ตกแต่ง: ตักใส่จาน ราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อย โรยผงพริกปาปริก้าเพื่อเพิ่มสีสัน
- เสิร์ฟ: เสิร์ฟคู่กับขนมปังพิต้า แครอท แตงกวา หรือฟาลาเฟล
เคล็ดลับ
- หากต้องการรสชาติที่เข้มข้นขึ้น สามารถใส่งาคั่วบดเพิ่มได้
- สำหรับผู้ที่ชอบรสเปรี้ยว สามารถเพิ่มน้ำมะนาวอีก 1 ช้อนโต๊ะ
คุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพ
ฟาลาเฟลและฮัมมัสไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย ถั่วชิกพีเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่ยอดเยี่ยม มีไฟเบอร์สูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และดีต่อการย่อยอาหาร น้ำมันมะกอกที่ใช้ในฮัมมัสเต็มไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และส่งเสริมสุขภาพหัวใจ
นอกจากนี้ ฮัมมัสยังมีงาบด ซึ่งให้แคลเซียมและธาตุเหล็ก ส่วนฟาลาเฟลก็มีผักสดและสมุนไพรหลากชนิดที่ช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ
วิธีเสิร์ฟแบบตะวันออกกลางแท้ ๆ
ในประเทศตะวันออกกลาง ฟาลาเฟลและฮัมมัสมักเสิร์ฟร่วมกันในมื้อเดียว โดยจัดเป็นจาน “เมซเซ่” (Mezze) หรืออาหารเรียกน้ำย่อยหลายชนิดที่เสิร์ฟพร้อมกัน เช่น ทับบูเลห์ (Tabbouleh) บาบากานุช (Baba Ganoush) และขนมปังพิต้าอุ่น ๆ
การจัดโต๊ะแบบนี้ไม่เพียงทำให้มื้ออาหารดูน่ารับประทาน แต่ยังสะท้อนวัฒนธรรมของการแบ่งปันอาหารกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ซึ่งเป็นหัวใจของวัฒนธรรมการกินในตะวันออกกลาง
เคล็ดลับเพิ่มเติมในการทำฟาลาเฟลและฮัมมัสให้อร่อยเหมือนร้านต้นตำรับ
หากต้องการให้ฟาลาเฟลและฮัมมัสของคุณมีรสชาติใกล้เคียงกับแบบดั้งเดิมจากตะวันออกกลาง มีเคล็ดลับเล็กน้อยที่ควรรู้ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสมบูรณ์ทั้งในด้านรสชาติ กลิ่น และเนื้อสัมผัส
1. เคล็ดลับฟาลาเฟลกรอบนอกนุ่มใน
- อุณหภูมิน้ำมัน: ควรรักษาอุณหภูมิน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 170–180 องศาเซลเซียส หากร้อนเกินไป ฟาลาเฟลจะไหม้ก่อนที่จะสุกด้านใน แต่ถ้าเย็นเกินไปจะดูดซับน้ำมันมากและไม่กรอบ
- การพักส่วนผสม: การพักส่วนผสมในตู้เย็นก่อนทอดอย่างน้อย 30 นาทีจะช่วยให้ก้อนฟาลาเฟลไม่แตกขณะทอด
- การใช้สมุนไพรสด: ผักชีฝรั่งและผักชีเป็นหัวใจสำคัญของรสชาติฟาลาเฟล ยิ่งสด กลิ่นจะยิ่งหอมชัด
- ทางเลือกเพื่อสุขภาพ: หากไม่อยากทอด สามารถอบฟาลาเฟลในเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียสประมาณ 25 นาที โดยพลิกด้านครึ่งทางเพื่อให้สุกทั่วและยังคงความกรอบ
2. เคล็ดลับฮัมมัสเนื้อนุ่มหอมมัน
- การลอกเปลือกถั่วชิกพี: หากต้องการให้เนื้อฮัมมัสนุ่มลื่น ควรลอกเปลือกถั่วชิกพีออกก่อนปั่น ซึ่งจะช่วยลดความหยาบและให้สัมผัสเนียนละเอียดมากขึ้น
- การใช้ทาฮินีคุณภาพดี: งาบดหรือทาฮินีเป็นส่วนสำคัญที่สุดของรสชาติฮัมมัส ควรเลือกชนิดที่ทำจากงาคั่วหอมและไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล
- น้ำเย็นช่วยให้เนื้อนุ่ม: ขณะปั่น ค่อย ๆ เติมน้ำเย็นทีละช้อน จะช่วยให้ฮัมมัสข้นกำลังดีและเนื้อเนียนขึ้น
- เพิ่มรสชาติด้วยเครื่องเทศ: ผงพริกปาปริก้า ผงยี่หร่า หรือแม้แต่ผงซา’ตาร์ (Za’atar) จะช่วยเพิ่มมิติของรสชาติให้ฮัมมัสดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
การดัดแปลงฟาลาเฟลและฮัมมัสในแบบร่วมสมัย
แม้สูตรดั้งเดิมจะอร่อยอยู่แล้ว แต่ในยุคปัจจุบันเชฟหลายคนได้ดัดแปลงฟาลาเฟลและฮัมมัสให้เข้ากับรสนิยมและวัตถุดิบในแต่ละประเทศ ซึ่งคุณสามารถลองทำได้เองที่บ้านเช่นกัน
ฟาลาเฟลแบบใหม่
- ฟาลาเฟลใส่ผักโขม: เพิ่มผักโขมสดหรือผักเคลลงไปในส่วนผสม เพื่อเพิ่มสีสันและคุณค่าทางโภชนาการ
- ฟาลาเฟลอบชีส: สำหรับผู้ที่ชอบความมันนุ่ม สามารถเติมชีสลงในไส้กลางก่อนปั้นทอด จะได้สัมผัสที่แตกต่าง
- ฟาลาเฟลแบบไทย: เพิ่มรสชาติไทย ๆ ด้วยพริกขี้หนูและใบมะกรูดซอยเล็กน้อย กลิ่นจะหอมและเผ็ดอ่อน ๆ เข้ากันอย่างลงตัว
ฮัมมัสหลากรส
- ฮัมมัสบีทรูท: เพิ่มบีทรูทต้มสุกลงไปปั่นพร้อมถั่วชิกพี จะได้สีชมพูสวยและรสชาติหวานละมุน
- ฮัมมัสอะโวคาโด: ผสมอะโวคาโดสุกลงไปเพื่อให้ได้รสครีมมี่และไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ
- ฮัมมัสพริกย่าง: ปั่นพริกหวานย่างลงไปด้วย จะได้รสหอมและกลิ่นรมควันเล็กน้อยแบบเมดิเตอร์เรเนียน
เสิร์ฟฟาลาเฟลและฮัมมัสอย่างสร้างสรรค์
ฟาลาเฟลและฮัมมัสสามารถนำมาจัดเสิร์ฟได้หลายรูปแบบ ทั้งเป็นของว่าง อาหารหลัก หรืออาหารเรียกน้ำย่อย ตัวอย่างเช่น
- แซนด์วิชพิต้าฟาลาเฟล: ใส่ฟาลาเฟลลงในขนมปังพิต้า เติมผักสด มะเขือเทศ แตงกวา และราดด้วยซอสโยเกิร์ตหรือตาฮินี
- สลัดฟาลาเฟล: หั่นฟาลาเฟลเป็นชิ้นเล็ก ๆ วางบนผักสลัดสด ราดด้วยน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว
- ฮัมมัสบาร์: จัดฮัมมัสหลากรสในถ้วยเล็ก ๆ เสิร์ฟคู่กับขนมปังพิต้า ผักแท่ง เช่น แครอทและแตงกวา เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยในงานเลี้ยง
- จานเมซเซ่รวม: จัดฟาลาเฟล ฮัมมัส ทับบูเลห์ และซอสโยเกิร์ตรวมกันบนจานเดียว พร้อมขนมปังพิต้าอุ่น ๆ เป็นมื้ออาหารแบบตะวันออกกลางแท้
อาหารที่เป็นมากกว่ารสชาติ
สิ่งที่ทำให้ฟาลาเฟลและฮัมมัสโดดเด่นไม่ใช่แค่รสชาติหรือคุณค่าทางอาหารเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมการกินของผู้คนในตะวันออกกลาง ซึ่งให้ความสำคัญกับ “การแบ่งปัน” การนั่งล้อมวงกินข้าวร่วมกัน และการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ
ทุกครั้งที่เราทำหรือกินอาหารเหล่านี้ เราไม่ได้เพียงลิ้มรสถั่ว สมุนไพร และน้ำมันมะกอกเท่านั้น แต่ยังได้สัมผัสถึงประวัติศาสตร์ยาวนานและความอบอุ่นของวัฒนธรรมที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
สรุปส่งท้าย
ฟาลาเฟลและฮัมมัสเป็นอาหารตะวันออกกลางที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและเหมาะกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ทานมังสวิรัติ ผู้รักสุขภาพ หรือคนที่อยากลองรสชาติใหม่ ๆ ทั้งสองเมนูนี้ผสมผสานความเรียบง่ายของวัตถุดิบเข้ากับศิลปะการปรุงอย่างประณีต จนกลายเป็นอาหารที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ
หากคุณต้องการเปิดประสบการณ์ใหม่ในห้องครัว การลองทำฟาลาเฟลและฮัมมัสด้วยตัวเองจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม คุณจะได้สัมผัสทั้งกลิ่นหอมของสมุนไพร ความมันของงา และความกรอบของถั่วที่ทอดจนเหลืองทอง พร้อมความรู้สึกภาคภูมิใจในอาหารที่ทั้งอร่อยและมีคุณค่าอย่างแท้จริง
รสชาติแห่งตะวันออกกลางไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม เพียงแค่คุณเปิดใจ ลองลงมือ และสนุกกับการปรุง ทุกคำที่ได้ลิ้มลองจะเป็นการเดินทางผ่านวัฒนธรรมอันงดงามและอบอุ่น ที่สะท้อนผ่านอาหารสองจานเรียบง่ายแต่ทรงคุณค่านี้ — ฟาลาเฟลและฮัมมัส.
